แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด

ข้อแนะนำ 5 ประการในการถนอมรักษาเลนส์แว่นตา

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ข้อควรปฏิบัติเพื่อช่วยรักษาให้เลนส์แว่นตามีอายุการใช้งานยาวนาน
1. อย่าจับขาแว่นตาเพียงข้างเดียวในขณะที่สวมหรือ ถอดแว่นตา



2. อย่าวางแว่นตาไว้ในลักษณะหงายโดยที่ผิวเลนส์ ต้องสัมผัสกับพื้นเพราะอาจทำให้เลนส์เป็นรอยได้ง่าย



3. อย่าเช็ดเลนส์โดยที่ไม่ได้ล้างด้วยน้ำสะอาด ซึ่งควรใช้ผ้าสำหรับเช็ดเลนส์โดยเฉพาะหรือ กระดาษเนื้อนุ่มสะอาดเท่านั้น



4. อย่านำแว่นตาไปวางไว้ภายในรถยนต์ที่ถูกจอด อยู่กลางแดดเป็นเวลานาน



5. อย่าสวมหรือนำแว่นตาเข้าไปในบริเวณที่สัมผัสกับ ไอน้ำร้อนเป็นเวลานานเช่น ห้องอบไอน้ำ (Sauna)


Credit: The five recommendations in the preservation of eyeglass lenses by Thaioptic.com

เลนส์ที่เปลี่ยนสีเมื่อโดนแสงแดด

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552


0 ความคิดเห็น
ภาพจาก : http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/8e/PhotochromicLens.jpg

คุณคงเคยเห็นแว่นตาที่มีเลนส์เปลี่ยนสีได้เองจากแว่นใสกลายเป็นสีเข้มเมื่อออกไปถูกแสงแดด และเปลี่ยนกลับจากสีเข้มเป็นใสอีกครั้งเมื่อเข้ามาในที่ร่ม ที่สามารถทำได้ก็เพราะว่าแว่นตาชนิดดังกล่าว ใช้เลนส์ประเภทที่เรียกว่า Photochromic Lens ทำให้เลนส์ปรับเปลี่ยนสีได้ ซึ่งมีความไวต่อแสงดังเช่น แสงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) โดยเลนส์มีลักษณะโดยทั่วไปดังนี้
  • ขณะอยู่ในบ้านไม่ต้องสัมผัสแสงแดด - เลนส์ได้รับแสงสว่างตามปกติจากหลอดไฟ หรือจากแสงสว่างเวลากลางวันภายในบ้าน ซึ่งมีระดับรังสีอัลตราไวโอเลตน้อย ดังนั้นกระจกหรือเลนส์แว่นตาก็จะมีสีขาวใส หรือสีเทาอ่อน
  • ขณะออกนอกบ้านไปโดนแสงแดดจ้า - เลนส์ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในแดดจ้า ก็จะส่งผลให้กระจกหรือเลนส์แว่นตานั้นเปลี่ยนไปเป็นสีเข้มหรือดำของแว่นกันแดด
ซึ่งแว่นตาชนิดใช้ Photochromic Lens นี้มีใช้กันในวงการแว่นตามานานหลายสิบปีแล้ว โดยในระยะแรกๆ จะมีเฉพาะเป็นแว่นทำด้วยกระจก แต่ต่อมาเลนส์แว่นตาที่เป็นพลาสติกก็ได้รับความนิยมมากขึ้น โดย Photochromic Lens ถูกผลิตจากวัสดุที่มีสารประกอบ ได้แก่ Silver Halide ผสมอยู่ หรือเคลือบเป็นชั้นๆ อยู่ในเลนส์แว่นตา ซึ่งอณูสาร Silver Halide ที่อยู่ในเนื้อเลนส์จะสลายกลายเป็นเงินและ Halogen เมื่อถูกแดด จะทำให้เลนส์เปลี่ยนเป็นสีเข้ม และเมื่อกลับไปอยู่ในที่มืด เงินและ halogen จะจับกันเป็น Silver Halide ทำให้เลนส์มีสีจางลง โดยทั่วไปแล้วสีจะเปลี่ยนเป็นเข้มเมื่อถูกแดดได้เร็วกว่าจางลงเมื่ออยู่ในที่ร่ม ส่วนจะเข้มมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับชนิดของ Photochromic Lens

ข้อสังเกตว่าน่าจะลองไปตรวจสายตา

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552


0 ความคิดเห็น
ภาพจาก : http://www.indisain.com/download/Work_49,14666.0694d06975/

1. เปรียบเทียบกับคนอื่นเช่น การนั่งดูโทรทัศน์ คนอื่นนั่งดูห่างจอทีวีเท่ากันกับตัวเรา เขามองเห็นชัดแต่เราเห็นไม่ชัด ต้องเลื่อนเข้าหรือถอยออกจึงจะเห็นชัด
2. มีคนทักเราว่าเวลาจะดูอะไรทำไมต้องหรี่ตา หรือทำไมเราจำเขาไม่ได้ ไม่ยอมทักทายเขา
3. เด็กๆ เวลามองดูอะไร ต้องก้มจนชิด หรือหรี่ตา บางคนอาจจะเอียงหน้า กระพริบตาบ่อยๆ นั่งดูโทรทัศน์ นั่งชิดจอมากกว่าเด็กคนอื่นๆ
4. อ่านหนังสือไม่ทน ใช้สายตาแล้ว แสบตา น้ำตาไหล ปวดหัว ปวดเบ้าตา มึนศีรษะ คลื่นไส้ สู้แสงไม่ได้

ลดความเจ็บปวดจากการทำงานกับคอมพิวเตอร์

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552


0 ความคิดเห็น
ภาพจาก : http://www.indisain.com/download/Work_17,14634.50e7240503/

สำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นประจำอาจเคยรู้สึกทุกข์ทรมานกันมาบ้าง กับอาการปวดตา ปวดหลัง ปวดไหล่ แถมบางคนมีอาการตาแห้ง ตาเจ็บ มองจอภาพเบลอ และรู้สึกแสบตากับแสงจากห้าจอ ลามปามปวดเมื่อยจากหลังไปถึงไหล่ ไหล่ไปถึงคอ จนทำงานไม่สบาย

อาการเหล่านี้ เป็นผลมาจาก การใช้สายตา จ้องที่จอภาพนานๆ จนทำให้เกิดความตึงเครียด (Computer Eye Strain) นั่นเอง วิธีแก้ไขไม่ให้อาการเจ็บปวดทุกข์ทนจากการทำงาน ซึ่งหน่วยงาน Prevent Blindness America แห่ง สหรัฐอเมริกา ได้แนะนำวิธีแก้ไขอาการง่ายๆ ด้วยตัวเอง ดังนี้
  • วางจอภาพ ให้ต่ำกว่า ระดับสายตา และห่างจากตาประมาณ 20-26 นิ้ว
  • ปรับลดแสงจ้า และกระจกสะท้อนแสงของจอภาพ การใช้แผ่นกรองแสง จะช่วยลดอาการแสบตา ได้อีกทางหนึ่ง
  • ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย และพักสายตาบ่อยๆ ถ้าเป็นไปได้ ควรคั่นงาน ใช้เครื่อง
  • จับกระดาษยกเอกสาร ไว้ระดับเดียวกับหน้าจอ เพื่อไม่ต้องก้มดูเอกสาร ซึ่งจะลดอาการปวดคอ หลัง และไหล่ได้
  • ใช้น้ำตาเทียม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
หรือถ้าอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรปรึกษาจักษุแพทย์ และถ้าจะให้ดีควรตรวจสายตาเป็นประจำด้วย

แว่นกันแดดที่ดีควรเป็นอย่างไร

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552


0 ความคิดเห็น
ภาพจาก : http://www.indisain.com/download/Colorado_Plateau,16119.d56c478806/

แว่นกันแดดที่ดีควรเป็นอย่างไร
แว่นกันแดดมีหน้าที่ปกป้องอันตรายจากแสง UV แสงที่มีความเข้มสูง แสงจ้าที่เกิดจากการสะท้อนแสงของวัตถุที่มีความมันวาว ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตาพร่าชั่วขณะ รวมถึงเพิ่มความคมชัด (Contrast) ของการมองเห็นภูมิประเทศด้วย แว่นกันแดดที่ดีควรมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กล่าวมานี้

การตัดแสง
ปัจจุบัน สามารถผลิตเลนส์ที่สามารถลดความเข้มแสงได้ถึง 97% แล้ว ทำให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสงจ้ามากๆ เช่น นักปีนเขา เล่นสกีหิมะ สำหรับการใช้งานทั่วๆไป เช่น การเดินเล่นตามชายหาด ขับรถ หรือ กิจกรรมกลางแจ้งธรรมดา ใช้เลนส์ที่มีการตัดแสง 70-80% ก็เพียงพอแล้ว

สีของเลนส์
เลนส์ สีต่างกัน ก็สามารถดูดกลืนแสงสีในแสงแดดได้ต่างกัน จึงเหมาะกับสภาพการใช้งานที่ต่างกันออกไปด้วย เช่น เลนส์สีเหลือง หรือสีน้ำตาล นิยมใช้กันแสงสะท้อนในยามกลางวันและกลางคืน เลนส์สีชา และสีเทาดำ ใช้สำหรับกันแสงจ้าทั่วไป เลนส์สีม่วง หรือสีกุหลาบ เหมาะกับการใช้เดินป่า ล่าสัตว์ หรือการเล่นกีฬาทางน้ำ

การใช้แว่น กันแดด ไม่ใช่การใช้เพื่อเป็นไปตามแฟชั่นตามที่ทุกคนเข้าใจอีกต่อไปแล้ว เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่เราต้องปกป้องจากแสงแดดเหมือนกับที่เราต้องปกป้องผิว จากแสงแดด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับดวงตา หากเราต้องทำกิจกรรมที่อยู่ท่ามกลางแสงมากๆ

อาหารเพื่อถนอมดวงตา


0 ความคิดเห็น
"ดวงตา" เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความละเอียดอ่อน ซับซ้อน และยังเป็นอวัยวะที่ต้องปะทะกับแสงแดดทุกวัน แสงอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดดเป็นแหล่งของอนุมูลอิสระที่ทำลายตาของเรา เป็นสาเหตุของต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งนำไปสู่สาเหตุการตาบอดในผู้สูงอายุ พบได้ในวัย 65 ปีขึ้นไป นอกจากแสงแดดแล้ว บุหรี่และอาหารที่ขาดสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนติออกซิแดนท์) เป็นสิ่งส่งเสริมให้เกิดต้อกระจกและประสาทตาเสื่อม ปัจจัยดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการใช้แว่นยูวีหรือสวมหมวก ไม่สูบบุหรี่หรือเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่สูบบุหรี่ และบริโภคอาหารที่มีสารต้านแอนติออกซิแดนท์สูงๆ

สารอาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพของดวงตาและลดอนุมูลอิสระที่จะทำลายเลนส์ตา คือสารแอนติออกซิแดนท์ (วิตามินซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน สังกะสี และไบโอฟลาโวนอยด์) สารแอนติออกซิแดนท์ เช่น วิตามินอีและซี ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา จากการวิจัยของสถาบันแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (The National Eye Institute) พบว่า การเสริมวิตามินอีร่วมกับสังกะสีในผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป จะช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้

- เบตาแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองเห็นในที่มืด และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพตา ช่วยบำรุงรักษาดวงตาและป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน และยังช่วยให้ผิวเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกายชุ่มชื่นขึ้นอีกด้วย

- ลูทีน (Luteine) และ ซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาด คะน้า ปวยเล้ง ลูทีนและซีแซนทิน เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวง ตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารลูทีนจากอาหาร ส่วนสารซีแซนทิน นอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาเป็นสารซีแซนทินได้ ปริมาณลูทีน 6 มก./วัน ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมถึงร้อยละ 50 ดังนั้นผู้ที่บริโภคผักผลไม้หลายๆ สีเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากผลไม้จะเป็น แหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว

- ไบโอฟลาโวนอยด์ พบได้ในบูลเบอร์รี่หรือบิลเบอร์รี่ องุ่นแดง ส้ม และเครนเบอร์รี่ ไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารแอนโธไซยานิดิน ช่วยป้องกันเลนส์ตา และสร้างความแข็งแรงให้กับสารคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างของคอร์เนีย (Cornea) และเส้นเลือดฝอยในตา
สารสกัดบิลเบอร์รี่ได้รับความนิยมสูงมากรองจากลูทีน นอกจากจะช่วยป้องกันเลนส์ตาแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัวๆ ได้ชัดเจนขึ้น

- บิลเบอร์รี่ เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากนักบินทหารอากาศของอังกฤษสังเกตเห็นว่า การบริโภคแยมบิลเบอร์รี่ก่อนที่จะออกบินในเวลากลางคืน ช่วยให้สายตาทำงานในที่มืดดีขึ้น

ในทศวรรษที่ 1960 นักวิจัยชาวฝรั่งเศสพบว่า สารแอนโธไซยานิดินสกัดจากบิลเบอร์รี่ ช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและมีความไวในที่มีแสงน้อยๆ ดีกว่า หลังจากนั้นได้มีการทำวิจัยอีกหลายครั้ง การวิจัยในผู้ควบคุมหอบังคับการเครื่องบิน 14 คน ซึ่งต้องทำงานกลางคืนพบว่า หลังจากที่ได้รับบิลเบอร์รี่สกัด 8 วัน สายตาสามารถปรับในความมืดได้ดี หรือการปรับสายตาหลังจากที่ต้องอยู่ในแสงจ้ามากดีขึ้น งานวิจัยในอิตาลีพบผลเช่นเดียวกัน แต่ระยะเวลาการปรับของสายตาเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 วัน หลังจากที่ได้รับแอนโธไซยาโนไซด์วันละ 150 มก. และผลจากบิลเบอร์รี่หมไปภายใน 1 เดือน หลังจากที่หยุดรับประทาน
บิล เบอร์รี่ เป็นผลไม้สมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่พบพิษ โดยผลจากการวิจัยต่างๆ ไม่พบผลข้างเคียง ดังนั้น นักวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการมีสุขภาพดีของมนุษย์ด้วยการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำลายเลนต์ตาและทำให้จอประสาทตาเสื่อมนั้น เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการใช้แว่นกันแดดที่สกัดกั้นสารยูวี เลิกสูบบุหรี่ และบริโภคผักผลไม้ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์และสารแอนโธไซยานิดินสูง การบริโภคผักและผลไม้วันละ 9 ส่วน ช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอประสาทเสื่อม ผักผลไม้หลายชนิดที่มีสารลูทีนและซีแซนทิน รวมถึงสารแอนโธไซยานิดินสูง เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี อี และเบตาแคโรทีนเช่นกัน บิลเบอร์รี่หรือบลูเบอร์รี่สดวันละ 1/2-1 ถ้วยตวง ให้สารแอนโธไซยานิดินเท่ากับที่ร่างกายต้องการในการรักษาสุขภาพตา นอกจากนี้การบริโภคผักผลไม้หลากหลายเพิ่มขึ้น ยังช่วยในการรักษาสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย

ดูแลรักษาให้ดวงตามีสุขภาพดี

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552


0 ความคิดเห็น
ภาพจาก : http://www.indisain.com/download/People_27,8746.26e1834304/

ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ด้งนั้นการถนอมดวงตาไว้ใช้งานได้นานและอยู่ในสภาพดี จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งมีวิธีปฎิบัติดังนี้
  1. อย่าใช้งานสายตาอย่างหนักเป็นเวลาต่อเนื่องกันนานเกินควร โดยถ้าจำเป็นก็ควรพักสายตาบ่อยๆ
  2. การอ่านหนังสือ ต้องมีแสงสว่างเพียงพอ โดยควรมีแสงส่องจากทางซ้าย ค่อนไปหลังเล็กน้อย และตาควรห่างจากหนังสือประมาณ 1 ฟุต
  3. การดูโทรทัศน์ ควรดูในห้องที่มีแสงสว่างพอสมควร และควรนั่งให้ห่างจากโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของขนาดจอโทรทัศน์ เช่น โทรทัศน์ขนาด 14" (วัดทแยงมุม) ควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ 14 x 5 = 70 " = 70/12 ฟุต = 5.83. = ประมาณ 6 ฟุต
  4. เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา อย่าใช้มือขยี้ตา ควรใช้น้ำสะอาด หรือน้ำยาล้างตาชะล้างเอาฝุ่นออก
  5. หลีกเลี่ยงการมองแสงที่จ้า เช่น ดวงอาทิตย์ หรือสิ่งของสีขาวที่วางอยู่กลางแดดเพราะจะทำให้เซลล์ประสาทตาเสื่อมได้
  6. ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดกับตาได้ เช่น ห้ามให้ของแหลมอยู่ใกล้ตา ไม่เล่นขว้างปาหรือยิงหนังยางใส่กัน
  7. ไม่ควรใช้ืสิ่งของที่อาจนำเป็นสื่อนำโรค ร่วมกันกับผู้อื่น เช่นแว่นตา ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจติดเชื้อได้
  8. เวลานอนควรปิดไฟ เพื่อให้ดวงตาได้พักผ่อนเต็มที่
  9. ควรกินอาหารที่ให้วิตามินเอประจำ เช่น ไข่ นม น้ำมันตับปลา ผักผลไม้สีเหลือง เป็นต้น
  10. เมื่อมีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา เช่นมองเห็นภาพไม่ชัด ตาบวม คันตา ฯลฯ ควรไปปรึกษาจักษุแพทย์

ประวัติการกำเนิดแว่นตา

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552


ภาพจาก : http://www.teagleoptometry.com/images/glasses2.jpg

เมื่อปี ค.ศ. 1290 ชาวอิตาเลียน ชื่อ ซาลวิโน อาร์มาติ นักประดิษฐ์ และนักค้นคว้าได้สร้างแว่นตาที่ใช้มองวัตถุให้ใหญ่ขึ้นได้เป็นผลสำเร็จ นับเป็นครั้งแรกของแว่นตาที่มีใช้ในโลก

การถนอมดวงตาด้วยวิธีของ "นายแพทย์เบตส์"

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552


0 ความคิดเห็น
วิธีนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ
"วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตาที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก

ภาพจาก : http://www.indisain.com/download/Education_6,2994.85abd56559/

วิธีนี้คิดค้นขึ้นโดยจักษุแพทย์ชาวอเมริกันชื่อว่า นายแพทย์ วิลเลียม เอช. เบตส์ (ค.ศ. 1860-1931)
โดยในวันหนึ่งนายแพทย์เบตส์กลับจากทำงานด้วยดวงตาอันอ่อนล้า เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานในห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟ วางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ โค้งอุ้งมือทั้งสองวางครอบดวงตาของตน หลับตาพักผ่อนในท่านั้นอยู่สิบนาที พอลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขารู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยดวงตาหายไป แถมมองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องชัดเจนขึ้นกว่าเก่าอีกด้วย

จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว นายแพทย์เบตส์ได้ค้นคิดวิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติเพื่อพักผ่อนกล้ามเนื้อตาและช่วยรักษาสายตาให้ดีขึ้นโดยนายแพทย์เบตส์ได้เขียนหนังสือชื่อ Perfect Sight without Glasses ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย แม้ภายหลังเขาเสียชีวิตแต่วิธีการของนายแพทย์เบตส์ยังได้รับการเผยแพร่โดยแพทย์ทั้งหลายทั่วยุโรปและอเมริกา

"วิธีของเบตส์" มี 7 ท่าด้วยกัน

ท่าที่ 1 ครอบดวงตา
ครอบดวงตา ด้วยการโค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สักประมาณ 10นาที

ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ
ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่แล้ว สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวย เห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจน สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี

ท่าที่ 3 กวาดสายตา
กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง เพราะคนที่สายตาสั้นมักจะจ้องและเขม้นตา กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง ทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย

ท่าที่ 4 กะพริบตา
กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำเหลืองหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น

ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล
โฟกัสภาพที่ใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกันตั้งนิ้วชี้มือขวา ให้ห่างจากใบหน้า สัก 3 นิ้ว โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย

ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา
หลังตื่นนอนทุกเช้าให้ใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่นสัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การวักน้ำเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อดวงตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้กวักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน

ท่าที่ 7 แกว่งตัว
แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ แต่ไม่ต้องจ้อง ปล่อยให้จุดที่เรามอง แกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พัก และมีการปรับตัวดีขึ้น ทำบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้